This post is also available in:
ทำไมภาษาญี่ปุ่นถึงเรียนยาก?
การเริ่มเรียนภาษาใหม่อาจเป็นเรื่องที่ยากและต้องมีความอดทน แต่ผลลัพธ์จากการเรียนอย่างหนักนี่เป็นสิ่งที่คุ้มค่า
การเริ่มเรียนพื้นฐานภาษาญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องยาก ส่วนที่ยากคือการเข้าใจและจำการเปลี่ยนคำกริยาและคำคุณศัพท์ต่างๆเนื่องจากภาษาญี่ปุ่นไม่มีกริยาช่วยเช่นภาษาอังกฤษ เราขอแนะนำให้เรียนภาษาญี่ปุ่นเป็นภาษาที่สองหรือสามเพราะภาษาญี่ปุ่นน่าสนใจกว่าที่คุณคิด
วิธีเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ง่ายและโดยตรงที่สุดคือการเรียนจากคนญี่ปุ่น เป็นเรื่องที่ดีหากคุณมีที่ปรึกษาภาษาญี่ปุ่นส่วนตัว (หรือพูดอีกอย่างว่ามีแฟนญี่ปุ่น) ด้วยวิธีนี้คุณสามารถฝึกภาษาญี่ปุ่นได้ทุกเมื่อและเท่าที่คุณต้องการซึ่งความจริงแล้วความสัมพันธ์ของคุณและแฟนชาวญี่ปุ่นอาจขึ้นอยู่กับแรงบัลดาลใจที่ยอดเยี่ยม ถ้าหากคุณกำลังมองหาแฟนชาวญี่ปุ่นอยู่ล่ะก็ ลองกดลิงค์นี้ เพื่อศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับ “Kiyomizu Dera” และศาลเจ้าญี่ปุ่นที่โด่งดังเรื่องการหาคู่รัก สิ่งที่สำคัญคือความตั้งใจของคุณ คุณต้องมีความปรารถนาที่จะมีคู่ครองญี่ปุ่นอย่างแท้จริง และเพื่อศักยภาพสูงสุดเราขอแนะนำให้คุณซื้อเครื่องรางโอโมโมริและกลับมาต่ออายุเครื่องรางทุกปี (แต่ไม่ต้องกังวล มันไม่ควรใช้เวลานานกว่าคุณจะเจอคู่รักของคุณ) วิธีนี้ได้ผลจริงๆ! ฉันเคยเห็นมันเกิดขึ้นด้วนตาตัวเอง แต่อย่างไรก็ตาม กลับมาที่หัวข้อเดิมกันดีกว่า
1.การจำตัวอักษรญี่ปุ่น
ในขั้นตอนแรกการจำตัวอักษรญี่ปุ่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ญี่ปุ่นมีตัวอักษรสองแบบ: ฮิระงะนะ (ひらがな) และคาตาคานะ (カタカナ) ตัวอักษรสองแบบนี้มีวิธีออกเสียงที่คล้ายกันแต่วิธีเขียนที่แตกต่างกัน
คาตาคานะโดยส่วนใหญ่เป็นวิธีการเขียนที่ใช้กับคำญี่ปุ่นที่ถูกยืมมาจากภาษาอื่น ในขณะที่ฮิระงะนะเป็นตัวอักษรพื้นฐานของการออกเสียงภาษาญี่ปุ่น นอกจากนี้ทุกคนที่เรียนภาษาญี่ปุ่นจะพบกับปัญหาที่เหมือนกันซึ่งคือการจำตัวอักษรคันจิ (漢字) ที่ถูกนำมาใช้จากประเทศจีน แม้แต่คนญี่ปุ่นเองก็เจอกับปัญหานี้เช่นกัน การจำคันจิทั้งหมดในพจนานุกรมแสนหนานั้นเป็นเรื่องยาก โดยทั่วไปพวกเขาจะรู้คันจิอย่างน้อย 2000 ตัวที่มักถูกใช้ในชีวิตประจำวัน
ความหมายของคันจิหลายตัวสามารถเดาได้ด้วยเคล็ดลับนี้
คันจิเบสิคสามารถถูกเปลี่ยนเป็นคันจิคำอื่นได้
- 水 (みず มิซึ = น้ำ) → 涙 (なみだ นะมิดะ = น้ำตา) ลายเส้นสามเส้นแรกแปลว่าน้ำ ในขณะที่ 戻る (もどる = โมโดรึ) แปลว่ากลับหรือกู้คืน
- 火 (ひ ฮิ = ไฟ) →炎 (ほのお โฮโน = การอักเสบ / เปลวไฟ) หรือ → 煙 (けむり เคะมุริ = ควัน) อย่างที่คุณเห็น คันจิทั้งหมดที่มีตัว 火 มีความหมายที่คล้ายกันซึ่งเกี่ยวข้องกับไฟ
- 木 (き/もくคิ/โมคุ = ต้นไม้) →林 (はやしฮายาชิ = ป่าเล็กๆ) หรือ→森 (もりโมริ = ป่า) ฉันจำต้นไม้ (木) ต้นไม้สองต้น (林) และต้นไม้สามต้น (森) ตอนที่ฉันสอบคันจิและนั่นคือการที่ฉันจำคันจิตัวนี้ได้ 森林 (しんりんชินริน = ป่าไม้) สามารถนำมารวมกันได้และความหมายยังคงเกี่ยวข้องกับต้นไม้
- 日 (ひ / ニチ ฮิ / นิชิ = วัน, ดวงอาทิตย์) →明るい (あかるい อะคะรุย akarui = แสง / สว่าง) หรือ→旬 (じゅん / しゅん จุน/ชุน = ฤดูกาล) คำคันจิทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับวันหรือดวงอาทิตย์
เมื่อถูกรวมกับอักษหรือลายเส้นอื่น การเดาความหมายของคันจิที่มีความเกี่ยวข้องกับน้ำ ไฟ หรือต้นไม้เป็นเรื่องง่าย ส่วนที่ยากคือองโยมิและคุงโยมิ (รูปแบบการอ่านตัวอักษรคันจิ)
ถ้าตัวอักษรคันจิอยู่ตัวเดี่ยวๆ มันสามารถถูกอ่านแบบคุงโยมิและถ้าถูกผสมกับตัวคันจิอื่นๆจะถูกอ่านแบบองโยมิ ยกตัวอย่างเช่น 山 สามารถออกเสียงว่า やま ยามะ (คุงโยมิ) หรือ サン ซัง (องโยมิ) องโยมิส่วนใหญ่จะเขียนโดยใช้ตัวอักษรคาตาคานะในพจนานุกรม คันจิตัวเดี่ยวๆตัวนี้จะถูกอ่านแบบคุงโยมิโดยส่วนใหญ่และแบบองโยมิเมื่ออยู่กับตัวอักษรอื่นๆ เช่น 富士山 (ふじサン ฟูจิซัง = ภูเขาฟูจิ), 火山 (かザン คาซัง = ภูเขาไฟ), 登山 (とザン โทซัง = การปีนภูเขา)
ในทำนองเดียวกัน ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำแบบที่ได้ลองและทดสอบมาแล้วเกี่ยวกับวิธีการอ่านตัวอักษรคันจิ การตัดสินใจว่าคันจิตัวไหนควรจะอ่านแบบมี เทนเทน (อัญประกาศ = “) หรือมารุ (วงกลม = º) อาจเป็นสิ่งที่ยาก แต่สิ่งนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจปัญหานี้มากขึ้น เมื่อคุณเห็นตัวอักษร 口 (くち กุชิ = ปาก) อยู่ตัวเดียว อย่าใส่ตัวเทนเทนเวลาอ่านหรือเขียน แต่หากตัวอักษรนี่อยู่หลังตัวอักษรอื่นมันมักมีเทนเทน เช่น 窓口 (まどぐち มาโดะ กูชิ= หน้าต่างขายตั๋ว, บุคคลที่ติดต่อ), 出口 (でぐち เด กูชิ = ทางออก), 南口 (みなみぐちち มินามิ กูชิ = ทางเข้าทิศใต้)
ข้อแนะนำสำหรับคนที่อยากจำศัพท์คันจิจริงๆคือให้โฟกัสที่การเขียน มันคือการกลับไปสู่พื้นฐานเหมือนเด็กอนุบาลที่ต้องเขียน A B C ตั้งแต่ฉันเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่น ฉันเขียนคันจิบ่อยที่สุดเท่าที่ฉันจำได้และไม่ใช่แค่ตัวอักษรแต่ความหมายด้วย
คันจิบางตัวที่ฉันคิดว่าน่าสนใจคือคันจิที่มีความคล้ายกันเช่น 表 (おもて โอโมเตะ= พื้นผิว) และ 麦 (むぎ มูกิ = ข้าวบาร์เลย์) ซึ่งมีส่วนบนที่เหมือนกันและมาจาก 土 (つち ซึชิ = ดิน) หรือ 素 (もと โมโตะ = ประถม / เปิดเผย) และ 索 (さく ซากุ = สายไฟ) มี 糸 (いと อิโตะ = เส้นด้าย) ที่ส่วนล่าง
2.การมีแอปพลิเคชั่นพจนานุกรมสุดเจ๋ง
คุณสามารถเรียนรู้จากโทรศัพท์คุณได้มากกว่าหนังสือ
ทุกวันนี้คุณสามารถหาความหมายของคำศัพท์ได้อย่างง่ายดายเพียงสัมผัสเดียว
แอปพลิเคชั่นที่ฉันแนะนำคือ “Japanese” สำหรับระบบไอดอเอส และระบบแอนดรอยด์
แอปพลิเคชั่นนี้จะแสดงองโยมิ คุงโยมิ ลำดับลายเส้น ความหมาย และส่วนประกอบของคันจิ วิธีการจำลำดับลายเส้นคือคุณต้องเริ่มเขียนจากบนของด้านซ้ายจากบนไปล่างและซ้ายไปขวา อีกหนึ่งคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมของแอปพลิเคชันนี้คือมันแสดงส่วนประกอบทั่วไปของคันจิ ส่วนประกอบทั่วไปเหล่านี้มีประโยชน์เมื่อคุณอยากหาคำศัพท์เพิ่มเติม นอกจากนี้แอพพลิเคชั่นนี้ยังมีประโยคซึ่งเหมาะสำหรับการค้นหาวิธีใช้แต่ละคำในบริบทที่แตกต่างกันและยังเพิ่มคำศัพท์ของคุณอีกด้วย!
3.เข้าร่วมคลาสภาษาญี่ปุ่นฟรี
คุณอ่านถูกแล้ว มันฟรีจริงๆ!
แต่ละเมืองในญี่ปุ่นจะมีโรงเรียนสอนภาษาญี่ปุ่นฟรี อาสาสมัครชาวญี่ปุ่นจะมารวมตัวกันในวันและเวลาที่กำหนดเพื่อสอนภาษาญี่ปุ่นให้กับชาวต่างชาติฟรี ไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ฉันอาศัยอยู่ที่ฟุชูในโตเกียวและมักเข้าร่วมชั้นเรียนท้องถิ่นที่ “Fuchu international salon” ก่อนอื่นคุณต้องลงสมัครห้องเรียนด้วยการกรอกข้อมูลส่วนตัว จากนั้นเลือกวันและเวลาที่คุณสะดวก (2ชม.ต่อ1คลาส) ยกตัวอย่างเช่น ในโรงเรียนของฉัน : วันจันทร์: 10.00 ~ 12.00 และ 14.00 ~ 16.00 น. วันพุธ: 14.00 ~ 16.00 น. วันศุกร์: 14.00 ~ 16.00 น. และ 19.00 ~ 21.00 น. ทุกคลาสในโรงเรียนนี้เป็นคลาสส่วนตัว (ครูอาสาสมัคร 1 คนต่อนักเรียน 1 คน) ดังนั้นอย่าอายที่จะพูดและเข้าคลาสที่ยอดเยี่ยมนี้!
ยิ่งไปกว่านั้น โรงเรียนเหล่านี้ยังมีหนังสือภาษาญี่ปุ่นแพงๆและหายาก และข้อสอบ JLP จำลองเพื่อให้คุณได้ศึกษาภาษาญี่ปุ่นอีกด้วย ในทำนองเดียวกันคุณยังสามารถสนทนาเป็นภาษาญี่ปุ่นกับเจ้าของภาษา อย่ากลัวที่จะพูดภาษาญี่ปุ่นเพราะอาสาสมัครเหล่านี้จะช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดของคุณด้วยความใจดี คุณไม่ได้แค่เรียนสกิล 4 อย่าง (ฟัง เขียน พูด และอ่าน) แต่คุณยังสามารถหาเพื่อนใหม่ได้อีกด้วย สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมลองดูเว็บไซต์ได้ที่นี่
4.หนังสื้อภาษาญี่ปุ่นระดับเริ่มต้นที่ดีที่สุด
คุณสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้ภายในสามเดือนหากคุณใช้หนังสือเรียนภาษาญี่ปุ่นที่ดีที่สุด
โรงเรียนสอนภาษาหลายแห่งใช้หนังสือ “มินนะ โนะ นิฮอนโกะ” (みんなの日本語) เป็นหนังสือหลักในการสอน อย่างไรก็ตามมันอาจยากสำหรับคนที่เพิ่งเรียนภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเอง
เพื่อนฉันจากออสเตรเลียแนะนำหนังสือ “เกงกิ” (げんき) เมื่อฉันตั้งใจว่าจะเรียนภาษาญี่ปุ่นก่อนมาอยู่ประเทศญี่ปุ่นเมื่อปีที่แล้ว จากประสบการณ์โดยตรงฉันสามารถพูดภาษาญี่ปุ่นด้วยความมั่นใจได้ภายในสามเดือน (คำสงวนสิทธิ์: ฉันตั้งใจเรียนมากที่สุดเท่าที่จะสามารถทำได้ มากกว่า 7 ชม.ต่อวัน) คุณสามารถฝึกซ้อมการฟังและพูดจากหนังสือเล่มนี้อีกด้วย ยิ่งไปกว่านั้นหนังสือเล่มนี้อธิบายไวยากรณ์อย่างละเอียดที่สามารถเข้าใจได้อย่างง่ายดายโดยชาวต่างชาติ ฉันสามารถสร้างประโยคง่ายๆสำหรับการอยู่รอดในญี่ปุ่นได้ภายในอาทิตแรกๆ
การอ่านก็สำคัญสำหรับเรียนภาษาญี่ปุ่นเช่นกัน หนังสือเกงกิมีบทเรียงความง่ายๆสำหรับระดับเริ่มต้นและบทเรียงความที่ยากขึ้นสำหรับแต่ละบทเรียน
5.เลียนแบบวิธีพูดจากดราม่าญี่ปุ่น ไม่ใช่อนิเมะ
คนเรียนภาษาญี่ปุ่นหลายคนชอบอนิเมะซึ่งฉันก็เป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน อนิเมะเรื่องโปรดของฉันคือ “วันพีซ” ฉันยังจำประโยคของลูฟี่ “海賊王に俺はなる” (ฉันจะเป็นราชาโจรสลัดให้ได้!) และประโยคโปรดของบรู๊ค “パンツ見せてもらってもよろしいでしょうか” “ขอดูกางเกงในหน่อยได้ไหม” ได้ดี
แต่อย่างไรก็ตาม ฉันไม่สามารถใช้ประโยคเหล่านี้ได้ในชีวิตจริง! เช่นเดียวกัน ฉันชอบดูยอดนักสืบจิ๋วโคนันแต่ฉันไม่สามารถใช้ศัพท์ที่ฉันเรียนรู้จากอนิเมะนี้เช่น 殺人事件 (さつじんじけん ซัตสึจินจิเคน = คดีฆาตกรรม), 犯人 (はんにん ฮันนิน = ผู้ร้าย) หรือ 連続殺人 (れんぞくさつじん เรนโซกุซัตสึจิน = ฆาตกรต่อเนื่อง) ฉันไม่ใช่โคนันหรือโมริซังที่จะต้องเจอกับการฆาตกรรมและศพทุกตอน
ฉันขอแนะนำให้ดูดราม่าญี่ปุ่น ศัพท์และประโยคที่ใช้ในดราม่าเหล่านี้คือศัพท์และประโยคที่เจ้าของภาษาใช้กันจริงๆ คุณสามารถเลียนแบบประโยคเหล่านี้เมื่อคุณพูดภาษาญี่ปุ่น ยิ่งคุณจำได้มากเท่าไหร่คุณจะยิ่งสามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวันมากขึ้นเท่านั้น
6.การเรียนรูปแบบเทะจากเพลง
คำกริยาภาษาญี่ปุ่นมีวิธีการเปลี่ยนแปลงมากมายเช่นรูปแบบเทะ รูปแบบ passive รูปแบบ causative รูปแบบ potential และรูปแบบ volitional และแต่ละการเปลี่ยนแปลงในแต่ละรูปแบบขึ้นอยู่กับกฎที่แตกต่างกันออกไป
คำกริยาภาษาญี่ปุ่นมีเอกลักษณ์เฉพาะเพราะมันจะถูกเปลี่ยนแปลงเมื่อเติม かった ท้ายประโยค แต่มันจะเป็นเรื่องที่ง่ายดายมากหากคุณรู้เทคนิค
ผู้เริ่มเรียนส่วนใหญ่พบปัญหาเดียวกันคือการเปลี่ยนคำกริยาโดยเฉพาะในรูปแบบเทะ (て-形) ก่อนอื่น คุณต้องรู้ว่าภาษาญี่ปุ่นถูกแบ่งออกเป็นสามกลุ่มซึ่งประกอบไปด้วย U-verb Ru-verb และ irregular verb โดยที่แต่ละกลุ่มมีกฎเฉพาะที่คุณต้องจำ
- วิธีเปลี่ยน Ru-veb ให้เป็นรูปแบบเทะคือการตัด ru (รึ) ออกและเติม te (เทะ) ยกตัวอย่างเช่น 食べる (たべる ทาเบรึ = กิน) → 食べて, 見る (みる มิรึ = ดู)
- กลุ่ม U-verb จะเปลี่ยนขึ้นอยู่กับพยางค์สุดท้ายของรูปแบบพจนานุกรม
· ตัวう (อุ), つ (ซึ) และる (รึ) สุดท้าย →って
会う (พบเจอ) → 会って
待つ (รอ) → 待って
撮る (ถ่าย (รูป)) → 撮って
· ตัว む (มุ), ぶ (บุ), ぬ (นุ) สุดท้าย→ んで
読む (อ่าน) → 読んで
遊ぶ (เล่น) → 遊んで
死ぬ (ตาย) → 死んで
· ตัว く (ku) สุดท้าย → いて
書く (เขียน) → 書いてยกเว้น 行く (ไป) → 行って
· ตัว ぐ (กู) → いで
泳ぐ (ว่ายน้ำ) →泳いで
· ตัส す (ซึ) สุดท้าย → して
話す (พูด) →話して
การจำผ่านเพลงคือการจำแบบที่ฉันแนะนำเพราะมันคือวิธีจำที่ง่ายที่สุด
- การเปลี่ยน irregular verb เป็นรูปแบบเทะไม่ยากเท่าที่คุณคิด คุณเพียงต้องจำรูปแบบเหล่านี้แล้วคุณจะสามารถเปลี่ยนมันเมื่อไหร่ก็ได้
する (สึรึ) → して
来る (คุรึ = มา) → 来て
รูปแบบเทะส่วนใหญ่จะถูกใช้กับください ซึ่งเป็นการขอให้ผู้อื่นทำอะไรสักอย่างให้อย่างสุภาพหรือใช้กับ もいいですか เมื่อขออนุญาตหรือใช้กับ はいけません เมื่อไม่อนุญาต เพราะเหตุนี้รูปแบบเทะสามารถใช้ได้หลายวิธี
การเรียนภาษาญี่ปุ่นไม่ใช่เรื่องยาก!
การเรียนภาษาญี่ปุ่นไม่เพียงแต่จะส่งเสริมและยกระดับการศึกษาและการทำงานแต่สำหรับการท่องเที่ยวด้วย เมื่อสองปีที่แล้วฉันไม่สามารถพูดภาษาญี่ปุ่นได้เลยตอนที่ฉันมาเป็นเด็กแลกเปลี่ยนที่ญี่ปุ่น ฉันไม่สามารถสั่งอาหารที่อยากกินที่ร้านอาหาร ในตอนนั้นฉันไม่สามารถสนุกกับการมาเที่ยวญี่ปุ่นเท่าที่ฉันควรและการอยู่รอดในประเทศญี่ปุ่นเป็นอะไรที่ยากมาก ฉันเริ่มศึกษาภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวเองเมื่อฉันพบว่าฉันสามารถอยู่ในญี่ปุ่นนานขึ้น ระบบการขนส่งในญี่ปุ่นเป็นอะไรที่ยอดเยี่ยมและหากเข้าใจแอปพลิเคชั่นญี่ปุ่นอย่าง Yahoo! 乗換案内 การใช้ระบบรถไฟจะเป็นเรื่องที่ง่ายดาย แอปพลิเคชั่นนี้จะแสดงเวลา หมายเลขแพลตฟอร์ม และรถไฟหรือรถบัสทุกขบวนหรือคันเมื่อคุณใส่ชื่อสถานนี (เป็นภาษาญี่ปุ่น) แอปพลิเคชั่นนี้ยังบอกถึงรถไฟขบวนแรกของวัน (始発 しはつ ชินฮัตซึ) และรถไฟขบวนสุดท้ายของวัน (終電 しゅうでん ชูเดน) ซึ่งเป็นข้อมูลที่สำคัญสำหรับการเอาตัวรอดในประเทศญี่ปุ่น อย่างที่ทุกคนรู้ดี บริการรถแท็กซี่ในประเทศญี่ปุ่นนั้นราคาแพงมากซึ่งทำให้จำเป็น เป็นอย่างที่จะไม่ตกรถไฟ ข่าวร้ายคือทุกคำในแอปพลิเคชั่นนี้เป็นภาษาญี่ปุ่นและชื่อสถานนีต่างๆเป็นคันจิ
สินค้าบางอย่างเช่นอาหารในร้านสะดวกซื้อมีคู่มือบ่งบอกวิธีอุ่นอาหารและหากเราไม่ทำตามคู่มือนี้ อาหารอาจจะไม่ออกมาอย่างที่เราต้องการ แน่นอนการรู้ภาษาญี่ปุ่นจะทำให้ชีวิตของคุณง่ายขึ้น อย่ามัวแต่เสียเวลา มาเริ่มเรียนภาษาญี่ปุ่นกันเลย!
Ferinmi/ไทย